เจาะลึก veTokenomics

ถ้าใครตามข่าวของ PERP อาจจะพอทราบว่า Tokenomics ของ PERP กำลังจะเปลี่ยนไปในอีกไม่นานนี้ กับการนำโมเดล veToken มาใช้ เราอยากจูงใจเพื่อสร้างการเติบโตระยะยาว และพัฒนาการกระจายผลประโยชน์ให้กับผู้ใช้งาน แต่อะไรคือ veTokenomics กันแน่ ลองมาหาคำตอบกันครับ

ปัญหาของ โมเดล tokenomic แบบเก่าบนระบบ DeFi แสดงให้เห็นปัญหาหลายอย่าง โดยในช่วงแรกๆ tokenomic แบบเก่าจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการใช้งาน protocol แต่ท้ายที่สุดแล้วการให้แรงจูงใจจะลดน้อยลง เช่นเดียวกับการเข้ามาใช้งาน protocol ที่น้อยลง ส่งผลให้วาฬเพียงไม่กี่ราย สามารถปล่อยสภาพคล่องเพื่อทำการฟาร์มโทเคน จากนั้นก็เทขายโทเคนทิ้งในตลาด

อีกหนึ่งปัญหาคือการให้แรงจูงใจผู้ใช้งาน ที่ไม่ส่งเสริมให้เกิดผลดีต่อการเติบโตระยะยาวของ protocol เนื่องจากกำกับดูแล (governance) กำหนดให้คุณต้องถือโทเคนเพื่อเข้าออกเสียงโหวตกำหนดทิศทางการดำเนินงานของ protocol แต่ปัญหามาจากรูปแบบการออกเสียงแบบ 1 โทเคน ต่อ 1 โหวต ที่ทำให้วาฬเพียงไม่กี่รายทำการออกเสียงกำหนดทิศทางของ protocol อาจจะมีการเสนอให้เปลี่ยนการดำเนินงาน เพื่อผลประโยชน์ระยะสั้นให้กับตนเอง และเพื่อที่วาฬจะได้เทโทเคนที่ได้รับมาในภายหล้ง

โทเคน ที่ไม่มีคุณประโยชน์อื่น นอกเหนือจากใช้เป็นเสียงโหวต อาจจะดูล้าสมัยไปแล้ว และได้พิสูจน์แล้วว่าไม่เหมาะสมที่จะนำมาใช้บนระบบ DeFi เพราะถ้านอกจากความต้องการเสียงโหวตเพื่อใช้งานใน governance แล้ว มันไม่มีแรงจูงใจอื่นจริงๆให้คนเข้ามาถือโทเคน

แต่ยังมีรูปแบบ tokenomics อีกรูปแบบหนึ่งที่ดูโดดเด่น ผ่านการใช้งาน ve-model ( ve หรือ vote escrowed) ถ้าท่านใดเคยใช้งานตลาดการซื้อขายที่ไร้ตัวกลาง (stablecoin DEX) อย่าง Curve ท่านอาจจะเคยพอได้ยิน ve-model มาบ้างแล้ว แต่อะไรที่ทำให้ระบบนี้ดูโดดเด่นและเหนือกว่าการแจกโทเคนแบบเดิมๆที่ไม่ยั่งยืน และทำไมมันถึงเป็นระบบที่ประสบความสำเร็จ

อะไรคือ veTokenomics

Vote-escrowed tokenomics (หรือ veTokenomics) นำมาใช้ครั้งแรกโดย Curve Finance เป็นโมเดลที่ช่วยลด supply ของโทเคนที่ได้มาจากการฟาร์ม โดยส่งเสริมให้ผู้ได้โทเคนนำไปฝากไว้ในระยะเวลาที่กำหนด เพื่อแลกกับการมีส่วนร่วมและผลประโยชน์ในระยะยาว โดยผู้ฝากโทเคนจะ ได้รับ veToken ที่ไม่สามารถส่งต่อ หรือนำไปขายต่อได้

แนวคิดก็คือ เพื่อที่จะมีส่วนออกเสียงในการกำกับดูแลการดำเนินงานของโปรโตคอล หรือ เพื่อให้ได้มาซึ่งการแจกโทเคนจากโปรโตคอลมากขึ้น คุณต้องฝากโทเคนของคุณในช่วงเวลาที่กำหนด โดยแผนภาพด้านล่างนี้ จะแสดงให้เห็นว่า คนถือโทเคน สามารถฝากโทเค็นของตนเพื่อเพิ่มอำนาจการออกเสียง และการเข้าไปมีส่วนในกระแสเงินสดของโปรโตคอล

DeFi บางโครงการอนุญาตให้คุณฝากโทเค็นของคุณเพื่อรับส่วนแบ่งรายได้จากโปรโตคอล แต่ความแตกต่างของโมเดล veToken ก็คือ ผู้ถือโทเคนที่ถูกล็อกเหล่านี้ มีส่วนร่วมในการตัดสินใจในการแจกโทเคน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับคู่สภาพคล่องของโปรโตคอล

กลไกดังกล่าวไม่เพียงแต่ส่งเสริมให้ซื้อและถือครองเท่านั้น แต่ยังนำโทเคนออกจากอุปทานหมุนเวียนในช่วงเวลาอันยาวนานอีกด้วย สิ่งจูงใจของผู้ถือโทเคนและความสำเร็จในระยะยาวของโปรโตคอลมีความสอดคล้องกันมากขึ้น เนื่องจากวาฬไม่สามารถเพียงแค่ซื้อโทเคนและออกเสียงเพื่อเปลี่ยนทิศทางของโปรโตคอลหรือการแจกรางวัล

เพื่อที่จะทำให้แนวคิดเรื่อง veTokenomics ชัดเจนยิ่งขึ้น มาดูวิธีการที่ Curve Finance นำ veTokenomics ไปใช้กันครับ

Curve: ผู้บุกเบิก veTokenomics

เช่นเดียวกับโปรโตคอล DeFi อื่น ๆ Curve มีโทเคนเป็นสิ่งจูงใจสำหรับการจัดหาสภาพคล่องให้กับ pool ของ Curve โดยคุณจะได้รับโทเคน LP ซึ่งสามารถนำไปฝากใน Curve gauge ได้ ซึ่งจะแจกโทเคน Curve DAO (CRV) ซึ่งการแจกสามารถทำให้เพิ่มได้โดยการล็อค CRV กลไกของ gauge มีรายละเอียดอยู่ในแผนภาพด้านล่าง

คนวางสภาพคล่อง ไม่เพียงแต่ได้รับโทเค็น Curve DAO (CRV) เท่านั้น แต่ยังรวมถึงค่าธรรมเนียมที่สร้างโดยการดำเนินการของ Curve Finance ที่แบ่ง 50:50 ระหว่าง คนวางสภาพคล่อง และ คนถือ veCRV

ในการรับ veCRV คุณต้องฝากตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ และยอมขาดสภาพคล่องในโทเคนการกำกับดูแล CRV ของคุณ โดยดทเคน CRV มีประโยชน์หลักสามประการคือ:

  1. สามารถนำไปใช้ลงคะแนนว่า จะปล่อยปล่อยโทเคนที่เป็นรางวัลให้กับกลุ่มสภาพคล่องใดบ้าง
  2. พวกเขาสามารถรับรางวัลจากค่าธรรมเนียมที่เกิดจากการใช้งานตลาดแลกเปลี่ยนบน Curve
  3. เพิ่มรางวัล ให้กับคนที่นำโทเคนไปฝากแบบกำหนดเวลาไว้

ผู้ถือเหรียญสามารถเลือกที่จะล็อคเหรียญของตนได้ในช่วงเวลาต่างๆ ตั้งแต่ 1 สัปดาห์ หรือนานถึง 4 ปี โดยที่เหรียญที่ผูกมัดไว้นานกว่าจะได้รับอำนาจในการออกเสียงมากกว่า และผลตอบแทนที่มากขึ้น แนวคิดก็คือถ้ามีคนมุ่งมั่นที่จะล็อค CRV ของพวกเขาเป็นเวลา 4 ปี ก็ถือว่าปลอดภัยที่จะคิดว่าพวกเขาต้องการเห็นโครงการประสบความสำเร็จและสิ่งจูงใจของพวกเขาสอดคล้องกับโปรโตคอล

เมื่อโทเคน CRV ถูกล็อคแล้ว จะไม่สามารถโอนหรือขายเหรียญได้จนกว่าระยะเวลาการล็อคจะสิ้นสุดลง และกระตุ้นให้พวกเขาตัดสินใจออกเสียงโดยปราศจากจากความคิดที่เก็งกำไรหรือกอบโกยผลประโยชน์ในระยะสั้น และมุ่งเน้นเพื่อให้เกิดผลสำเร็จของโปรโตคอลในระยะยาวมากขึ้น

Curve Pool แต่ละ pool มีมาตรวัดสภาพคล่องของตัวเอง ซึ่งผู้วางสภาพคล่อง stake โทเคน LP ของตนเพื่อกำหนดอัตราเงินเฟ้อของ CRV ไปยัง pool ต่างๆ โดยพิจารณาจากการโหวตของผู้ถือ veCRV โดยเมื่อล็อกโทเค็นเป็นเวลาสูงสุด 4 ปี ผู้วางสภาพคล่อง จะได้รับ CRV เพิ่มขึ้น 2.5 เท่า รวมถึงพลังการโหวตที่มากขึ้น แทนที่จะถ่วงน้ำหนักด้วยปริมาณโทเค็นที่คุณถืออยู่เพียงอย่างเดียว อำนาจการลงคะแนนจะเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาที่คุณล็อก CRV ไว้ด้วย

ตัวอย่างเช่น สมมติว่าบุคคลสองคนถือ CRV ในปริมาณเท่ากัน คนหนึ่งล็อกไว้ 4 ปี อีกคนล็อกไว้ 2 ปี คนที่ทำการล็อกไว้เป็นเวลา 4 ปีจะได้รับ veCRV เป็นสองเท่า และด้วยเหตุนี้จึงเพิ่มอำนาจการลงคะแนนและรางวัลเป็นสองเท่า

กลไกข้างต้นช่วยทำให้มั่นใจได้ว่าการออกโทเคนจะดำเนินการในแนวทางที่เป็นประชาธิปไตย และส่งเสริมการมีส่วนร่วมในระยะยาว ผู้ถือ CRV ที่เป็นเพียงนักเก็งกำไรในระยะสั้นจะไม่มีอำนาจลงคะแนนในการกำกับดูแลเพราะพวกเขาไม่ได้ล็อคโทเค็นของพวกเขา

ตารางด้านล่างเป็นการเปรียบเทียบที่มีประโยชน์ของประโยชน์ของการล็อค CRV ให้เป็น veCRV ซึ่งกระตุ้นความต้องการโทเค็นในขณะที่ยังลดอุปทานหมุนเวียนอีกด้วย:

ประโยชน์ของ veTokenomics คืออะไร?

ประโยชน์ที่ชัดเจนที่สุดประการหนึ่งของโมเดล veToken ก็คือมันจูงใจให้ผู้ถือเอา CRV ออกจากการหมุนเวียนในระบบ โดยการล็อคโทเคนเพื่อเปลี่ยนให้เป็น veCRV ด้วยอุปทานโทเค็นหมุนเวียนที่ลดลง สิ่งนี้จะช่วยรักษาเสถียรภาพของราคา และลดแรงกดดันในการขายในระยะยาว

แผนภูมิด้านล่างแสดงให้เห็นว่าประมาณช่วงเวลานี้ของปีที่แล้ว มี CRV ที่ถูกล็อค 151.7 ล้านโทเคน เมื่อมีโทเคนหมุนเวียนอยู่ที่ 545.3 ล้านโทเคน แต่ตอนนี้จำนวน CRV ที่ถูกล็อกเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเป็น 505.6 ล้านโทเคน เทียบกับอุปทานหมุนเวียนในปัจจุบันที่ 1.16 พันล้าน

ด้วยอัตราการล็อก CRV ที่เติบโตเร็วกว่าอัตราแจกโทเคน สิ่งนี้ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อพลวัตของอุปทาน และท้ายที่สุดจะสนับสนุนราคาในระยะยาว คลื่นลูกแรกของระบบโทเคนของ DeFi จะถูกฟาร์มและขายทิ้ง โดยไม่มีอะไรมากที่จะรั้งราคาไว้ได้ เนื่องจากไม่มีความต้องการโทเคนเหล่านี้นอกเหนือการเก็งกำไรและสิทธิในการกำกับดูแล

เปอร์เซ็นต์ของอุปทาน CRV ที่ถูกล็อกเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป เนื่องจากผู้คนต้องการสิทธิ์อันมีค่าในการกำกับดูแล ผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น ส่วนลด และกระแสเงินสดที่เกิดจากโปรโตคอล กลไกนี้จัดลำดับความสำคัญของผู้ใช้ประเภทต่างๆ (ผู้ใช้งาน ผู้วางสภาพคล่อง และผู้ถือโทเคน)

เนื่องจาก Curve มีสภาพคล่องมากที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดการซื้อขายที่ไร้ตัวกลาง (stablecoin DEX) ใดๆ ผู้สร้าง Stablecoin ได้แข่งขันกันเองเพื่อให้ได้ CRV มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ล็อกไว้ใน veCRV และเปลี่ยนเส้นทางการปล่อยโทเคนไปยัง pool ของพวกเขา

การทำเช่นนี้จะกระตุ้นให้มีสภาพคล่องมากขึ้นที่จะเพิ่มไปยัง pool เหล่านี้ และปรับปรุงความสามารถของเหรียญที่มีเสถียรภาพในการรักษาการตรึง ด้วยกลไกนี้ เราจึงเห็น Convex Finance, Yearn Finance, Abracadabra และโครงการอื่นๆ อีกมากที่มีส่วนร่วมในสิ่งที่เรียกว่า สงครามแห่ง Curve (Curve Wars) ซึ่งนำไปสู่แรงกดดันในการซื้อ CRV ที่เพิ่มขึ้น

ข้อเสียของ veTokenomics คืออะไร?

แม้ว่าจะมีข้อดีบางประการสำหรับโมเดล veToken แต่ก็มีข้อจำกัดบางประการที่ควรทราบ:

  • มันสามารถนำไปสู่ฐานนักลงทุนที่ลดลง เนื่องจากทุกคนไม่ต้องการละทิ้งสภาพคล่องในการถือครองของตนเพื่อประโยชน์ของ ve-Token
  • อนุพันธ์ในการ Stake เช่น yveCRV และ cvxCRV ช่วยลดการกระจายอำนาจของธรรมาภิบาล ตัวอย่างเช่น Convex เป็นเจ้าของ veCRV ส่วนใหญ่และการขายคะแนนเสียง (หรือสินบน) อาจสร้างความเสียหายต่อสิ่งจูงใจในระยะยาวของระบบนี้
  • เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจาก CRV คุณต้องล็อคไว้เป็นเวลา 4 ปี ซึ่งอาจเป็นระยะเวลานานเกินไปสำหรับนักลงทุน ค่าเสียโอกาสของการล็อก CRV เป็นเวลา 4 ปีอาจสูงเกินไป และใครก็ตามที่เปลี่ยนใจจะไม่สามารถปลดล็อกได้จนกว่าระยะเวลาที่เลือกจะหมดลง

มีการถกเถียงกันอย่างมากเกี่ยวกับความอยู่รอดของ veTokenomics รวมถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของมัน หากคุณต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อเสียที่อาจเกิดขึ้น เราขอแนะนำให้คุณอ่านบทความนี้รวมถึงข้อโต้แย้งเกี่ยวกับ veTokenomics จากฟอรัมการกำกับดูแลของ MakerDAO

อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อได้เปรียบของโมเดล veToken เหนือวิธีการก่อนหน้านี้ จึงได้มีการนำไปใช้และปรับแต่งอย่างกว้างขวางในโปรโตคอล DeFi ต่างๆ ซึ่งบางส่วนได้อธิบายไว้ด้านล่าง

ตัวอย่างอื่นๆ ของ veTokenomics

veFXS

Frax Finance ได้เสนอการดำเนินการตามแนวคิด veCRV สำหรับ veFXS เป็นครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม 2021 (ข้อเสนอการกำกับดูแลดั้งเดิมที่นี่) ในขณะที่แนวคิดนี้คล้ายกับโมเดลของ Curve ผู้ถือ veFXS ลงคะแนนเสียงในมาตรวัดที่ควบคุมการปล่อย FXS ข้ามกลุ่มต่างๆ บน DEX ที่แตกต่างกัน ในขณะที่ผู้ถือ veCRV มีอิทธิพลต่อน้ำหนักมาตรวัดต่อการปล่อย CRV สำหรับพูลเฉพาะบน Curve

veBAL

Balancer เปิดตัว veTokenomics ในเดือนมีนาคม 2022 และมีความแตกต่างจากโมเดลของ Curve ดังนี้:

  • เวลาล็อคสูงสุดคือ 1 ปี และสั้นกว่า Curve ที่นานถึง 4 ปี
  • ผู้ใช้ล็อคโทเคน BAL และ WETH Balancer Pool ในอัตราส่วน 80:20 แทนที่จะล็อค BAL เพียงอย่างเดียว
  • veBAL มุ่งเน้นการใช้งานแบบ DAO-to-DAO แทนที่จะเป็นนักลงทุนรายย่อย

ประเด็นที่สองน่าสังเกต เนื่องจาก Balancer เป็นคนแรกที่นำโทเค็นกลุ่มสภาพคล่องมาใช้เป็นกลไกในการกำกับดูแล

ve(3,3)

คิดค้นโดย Andre Cronje รุ่น ve (3,3) เพิ่มการปรับปรุงสามประการให้กับโมเดล veTokenomics:

  • การแจกโทเคนรายสัปดาห์จะถูกปรับเป็นเปอร์เซ็นต์ของอุปทาน
  • Ve-lockers ช่วยเพิ่มการถือครองตามสัดส่วนการแจกโทเคน
  • Ve-locks เป็น NFTs

Velodrome นำโมเดล ve (3,3) มาใช้ ซึ่งเป็น DEX ที่เพิ่งเปิดตัวบน Optimism

veRBN

Ribbon Finance ยังเปิดตัวโมเดล ve-Token ในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 veRBN ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ "ปลดล็อกโทเค็นได้ก่อนกำหนด" แต่จะต้องเสียค่าปรับในการทำเช่นนั้น ผู้ถือ RBN สามารถล็อคโทเค็นของตนได้นานถึง 2 ปีเพื่อเพิ่มอำนาจการลงคะแนน verRBN ให้สูงสุด

มีโปรโตคอลอื่น ๆ อีกมากมายที่พิจารณาการย้ายไปยังโมเดล veToken เนื่องจากได้รับการทดสอบตามเวลาและนำไปสู่ระบบนิเวศที่เจริญรุ่งเรืองซึ่งสร้างขึ้นจาก Curve ดังที่แสดงไว้ข้างต้น มีรูปแบบและตัวเลือกการออกแบบที่น่าสนใจมากมาย ซึ่งได้รับอิทธิพลจากข้อจำกัดที่เรากล่าวถึงข้างต้น

คอยติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของโมเดลโทเค็นของเราด้วยการอัปเกรด vePERP ที่กำลังจะมีขึ้นบน PERP!

Subscribe to investgineer
Receive the latest updates directly to your inbox.
Verification
This entry has been permanently stored onchain and signed by its creator.